ทักษะที่ต้องมี สำหรับการเลี้ยงลูกให้เติบโตในศตวรรษที่ 21 อย่างมีประสิทธิภาพ

เนื่องจากเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้ามากขึ้น เด็กในยุคนี้จึงเป็นเด็กที่จะต้องโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วิธีการเลี้ยงลูกจึงจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย มาดูกันว่าพ่อแม่ในยุคศตวรรษที่ 21 จะต้องเลี้ยงลูกอย่างไรให้เหมาะสม และลูกๆจำเป็นที่จะต้องมีทักษะอะไรบ้างที่จะพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในอนาคต

ที่มาของข้อมูล : longtunmom.com, parentsone.com,enfababy.com

ลูกน้อยกับทักษะการเรียนรู้แบบ 4C สำหรับอนาคต

โดยหลักการ 4C นั้นเป็นทักษะการเรียนรู้ที่สำคัญในการประกอบอาชีพในอนาคตของลูกๆ ประกอบไปด้วย

• Cirtical Thinking หรือ ความคิดเชิงคิดวิเคราะห์ในการแก้ไขปัญหา
• Collaboration หรือ การทำงานเป็นทีมร่วมกับผู้อื่น
• Creativity หรือ การมีความคิดสร้างสรรค์
• Communication หรือ ความสามารถในการสื่อสารกับผู้อื่น

ทั้งหมดนี้ ถือว่าเป็นทักษะที่สำคัญต่อการทำงานและการใช้ชีวิตในสังคม ที่ควรจะต้องเตรียมพร้อมให้กับลูกน้อยเพื่อเป็นประโยชน์ต่อเขาในอนาคต การปลูกฝังทักษะเหล่านี้ตั้งแต่เด็ก จะส่งผลให้อนาคตเป็นเด็กที่เก่งรอบด้าน

IMT Skills 3 ทักษะที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล

เด็กสมัยนี้ เติบโตมาในยุคดิจิทัลเต็มตัว การที่จะเรียนรู้ให้ทันเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้เด็กเข้าใจ และสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์กับตัวเองให้ได้มากที่สุด สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ทักษะที่เรียกว่า IMT Skills ได้แก่

Information Literacy หรือ ความรู้ความสามารถในการเข้าถึงข้อมูล และสามารถประเมินข้อมูลได้ด้วยตัวเอง แยกแยะว่าข้อมูลนั้นจริงหรือเท็จ แล้วนำไปใช้ประโยชน์ได้ โดยจะต้องพึ่งทักษะการคิดวิเคราะห์

Media Literacy หรือ การเข้าถึงสื่อ เข้าใจความหมาย ลักษณะ และรูปแบบของสื่อ โดยสามารถแยกแยะและคิดวิเคราะห์ได้ว่า มีความน่าเชื่อถือหรือไม่น่าเชื่อถืออย่างไร เพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากสื่อได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

Technology Literacy หรือ ความรู้ความเข้าใจในคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยี หรือสิ่งที่มีความเกี่ยวข้อง และสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเองได้ ซึ่งจะเป็นข้อดีสำหรับการใช้ชีวิตในยุคที่สังคมออนไลน์ที่มีความนิยมอย่างทุกวันนี้

อย่าลืมทักษะการใช้ชีวิต สิ่งสำคัญที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลง

นอกจากทักษะในด้านของการเรียนรู้แล้ว ทักษะในการใช้ชีวิตเองก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะจะเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกๆของเราสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โดยทักษะพื้นฐานที่เด็กๆควรมีเพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิต ได้แก่

• Flexibility ความยืดหยุ่น หรือการปรับตัวให้เข้ากับผู้คน หรือสิ่งต่างๆได้ง่าย
• Leadership ทักษะในการเป็นผู้นำ หรือความสามารถในการตัดสินใจ
• Initiative ความคิดริเริ่ม การแก้ปัญหาได้ดีโดยไม่จำเป็นต้องรอรับคำสั่ง รู้ว่าตัวเองจะไปถึงจุดหมายด้วยวิธีใด
• Productivity การใช้ชีวิตให้เกิดประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงที่สุด
• Social Skills ทักษะทางด้านสังคม สามารถเข้ากับสังคมคนหมู่มากได้ และรู้จักวิธีการวางตัวในสังคมให้เป็นที่ยอมรับ

ทักษะพื้นฐานที่ลูกจำเป็นต้องมี ติดตัวไว้มีชัยไปกว่าครึ่ง

การทำงานเป็นทีม
การเฝ้ามองลูกเล่นกับเด็กคนอื่นๆ ได้มองดูลูกสื่อสารกับเพื่อนร่วมกลุ่ม นั้นเป็นความสุขของคนเป็นพ่อแม่ เด็กที่มีทักษะทางสังคมสูงในช่วงวัยเด็ก จะมีโอกาสโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จมากกว่า และเด็กที่เรียนรู้วิธีอยู่ร่วมกับผู้อื่น จะรู้จักการแบ่งปันและเปิดโลกได้กว้างขึ้นได้ พ่อแม่มีส่วนสำคัญที่จะช่วยปลูกฝังทักษะนี้ได้ ด้วยการเริ่มจากให้ลูกรับผิดชอบหน้าที่ภายในบ้านร่วมกับสมาชิกคนอื่นๆ หรือทำกิจกรรมกลุ่มกับเพื่อนๆ อย่าลืมที่จะให้คำชมลูกทุกครั้งที่เขาใส่ใจดูแลคนอื่น

ความสามารถในการแก้ปัญหา
เป็นทักษะที่เด็กต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เริ่มตั้งแต่การแก้ปัญหาง่ายๆ ลูกจะดูพ่อแม่เป็นตัวอย่าง เพราะสำหรับลูกแล้วพ่อแม่เป็นผู้ที่รอบรู้ในทุกๆ เรื่อง เป็นทักษะที่ช่วยตัดสินใจเรื่องต่างๆ ทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้ที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอนาคต พ่อแม่สามารถเริ่มฝึกทักษะนี้ได้ด้วยการให้ลูกได้เล่นของเล่นที่มีแนวทางของคำตอบแบบเปิดและปิด เช่น เกมต่อภาพ การต่อบล็อกไม้ ต่อตัวต่อหรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่มีอยู่ภายในบ้าน เช่น แกนทิชชู่ กล่องใส่รองเท้า การเล่นลักษณะนี้ ฝึกลูกให้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ฝึกให้พวกเขานำสิ่งที่มีอยู่มาใช้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด หรือเมื่อใดที่มีคำถามให้ลูกตอบหรือตัดสินใจเลือก ให้เวลาลูกสักนิด เพื่อให้ลูกได้คิดหาคำตอบด้วยตัวเอง แน่นอนว่าการฝึกแบบนี้ต้องใช้เวลา แต่ผลที่ได้จะคุ้มค่าการรอคอย

การสื่อสาร
การสื่อสารระหว่างพ่อแม่และลูกนั้น แต่ละคนมีความพร้อมที่แตกต่างกันออกไป พัฒนาการทางการสื่อสารของเด็กวัยเดียวกันอาจไม่เหมือนกัน เด็กบางคนพูดได้เร็ว เด็กบางคนพูดได้ช้า แต่การสื่อสารยังรวมไปถึงท่าทาง เช่น การส่งสายตา ส่งเสียงในแบบต่างๆ หรือแม้กระทั่งการสัมผัส ถ้าลูกยังพูดไม่ชัดและต้องการสื่อสาร ให้กำหนดท่าทางหรือกำหนดสัญลักษณ์ต่างๆ พ่อแม่สามารถช่วยเสริมทักษะการสื่อสารให้ลูกได้ ด้วยการสนับสนุนให้ลูกสื่อสารมากขึ้น ผ่านการพูดด้วยการใช้เกมชี้เป็นสื่อกลาง เช่น พูดแล้วให้ลูกชี้ว่ามันคืออะไร หากลูกยังเป็นวัยเด็กอ่อนอยู่ ให้เริ่มใช้เป็นคำง่ายๆ

ความเห็นใจผู้อื่น
ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ รับรู้ถึงความรู้สึกที่คนอื่นเป็นอยู่ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เห็นอกเห็นใจคนรอบข้าง เป็นเรื่องที่ต้องพัฒนาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ พ่อแม่ส่วนใหญ่ เมื่อเห็นลูกตัวเองร้องไห้จะรีบเข้าไปปลอบทันที โดยไม่ได้สนใจที่มาของปัญหาว่า อะไรทำให้ลูกร้องไห้ แน่นอนว่าเป็นการกระทำที่เข้าใจได้ พ่อแม่ทุกคนก็คงเป็นแบบนั้น แต่ในครั้งหน้าคุณพ่อคุณแม่ลองหยุดและหาที่มาของสิ่งที่ทำให้ลูกร้องไห้ และลูกก็จะมีเวลาเรียนรู้จากเหตุการณ์นั้น เรียนรู้แนวทางการปลอบตัวเอง

5 กิจกรรม เสริมทักษะ พัฒนาสกิลให้กับลูก

ตัวต่อเลโก้ : ของเล่นที่รู้จักอย่างยาวนาน เด็กหลายช่วงอายุชอบเล่นเลโก้ ตัวต่อเลโก้สามารถเป็นได้มากกว่าของเล่น และสามารถเสริมทักษะให้กับเด็กๆ ได้ เช่น ตัวต่อเลโก้บางชนิดมาพร้อมกับหนังสือแนะนำการต่อ สามารถใช้ส่วนนี้สอนให้เด็กๆ รู้จักการอ่านและทำตามขั้นตอนได้ นอกจากนี้ เลโก้ยังช่วยเสริมทักษะด้านการคำนวณ ขณะที่ต่อเลโก้ ผู้ต่อต้องกะจำนวนตัวต่อที่จำเป็นต้องใช้ ที่สำคัญเลโก้ยังช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างดีเยี่ยม

เกมปริศนา : จิ๊กซอว์ เป็นกิจกรรมชั้นเลิศ สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำก็คือ ค่อย ๆ เพิ่มความยากขึ้นเรื่อยๆ เด็กๆ สามารถต่อจิ๊กซอว์กล่องเล็กที่มีจำนวนชิ้น 50 – 70 ชิ้นได้ด้วยตัวเอง แต่หากเป็นจิ๊กซอว์กล่องใหญ่ คุณพ่อคุณแม่อาจต้องร่วมช่วยด้วย การต่อจิ๊กซอว์จะช่วยในด้านการแยกแยะรูปร่าง ความจำ ฝึกความร่วมมือ หรือลองมองหาเกมปริศนาอื่น ๆ เช่น อักษรไขว้, ต่อศัพท์, รูบิค เป็นต้น

หนังสือภาพระบายสี : เป็นกิจกรรมเหมาะมากสำหรับเด็กที่ยังไม่เข้าเรียน การระบายสีจะเสริมทักษะด้านศิลปะและทักษะในการเคลื่อนไหวมือ แขน นิ้วมือ และตา มีประโยชน์ในการพัฒนาทักษะการเขียนหนังสือในอนาคต นอกจากนี้ การระบายสียังเป็นกิจกรรมที่ให้ความผ่อนคลาย

เกมไมน์คราฟท์ : เป็นกิจกรรมที่เหมือนตัวต่อเลโก้ที่มีความซับซ้อนกว่า และมาในรูปแบบของวิดีโอเกม เกมนี้ได้รับความนิยมจากทุกเพศทุกวัยจากทั่วโลก โดยในเกมไมน์คราฟท์นั้นเด็กๆ สามารถสร้างสิ่งก่อสร้าง หรือประดิษฐ์สิ่งของ แก้ไขรูปร่าง และแยกส่วนประกอบของสิ่งต่างๆ ได้ แต่ก็ต้องหาวัตถุดิบที่จำเป็น และวางแผนในการขยายฐานของตัวเองอีกด้วย ไมน์คราฟท์ช่วยเสริมทักษะเช่นเดียวกับเลโก้ แต่ในระดับที่สูงกว่า และสามารถเล่นได้โดยไม่มีวันจบ

การอ่าน และการร้องเพลง : ทักษะการอ่านเป็นสิ่งที่เด็กทุกคนจำเป็นต้องใช้ในอนาคต สามารถสอนให้เริ่มอ่านได้ตั้งแต่อายุ 4 ปี แต่ไม่ใช่เด็กทุกคนที่ชอบการอ่าน จึงต้องใช้หนังสือที่มีภาพประกอบที่สีสีสันสวยงาม เพื่อดึงดูดความสนใจ นอกจากนี้ยังสามารถสอนเด็ก ๆ ให้ร้องเพลง และร่วมร้องไปด้วยกัน กิจกรรมนี้จะช่วยเสริมความจำ ทักษะด้านดนตรี ทักษะด้านการแยกแยะคำ และยังสนุกสนานมาก ๆ อีกด้วย

ทุกการเตรียมพร้อมเพื่อลูกรัก อุ่นใจเรื่องสุขภาพด้วยประกัน Max Kids สุขภาพก็ได้ เก็บออมก็มี

นอกจากการเตรียมพร้อมในการเพิ่มทักษะความรู้และการใช้ชีวิตที่เป็นสิ่งจำเป็นแล้ว การเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ในอนาคตก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน ประกันสุขภาพ Max Kids ตอบโจทย์พ่อแม่ยุคใหม่ที่ต้องการหาประกันสุขภาพให้ลูกน้อยสักฉบับ ที่จะดูแลในเรื่องของการคุ้มครอง รักษาสุขภาพอย่างครบครัน และการเก็บออมอย่างต่อเนื่อง มีเงินคืนต่อเนื่องทุกปี รวมผลประโยชน์สูงสุด 156% จากเงินทุนประกัน เรียกได้ว่าเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่ดีและรอบคอบเป็นอย่างมากเลยทีเดียว